SABUY

“SABUY” มาเหนือเมฆ เข้าถือหุ้นใหญ่ AIT ผู้นำธุรกิจ IT รายใหญ่ของไทย ทุ่มอีก 1,000 ล้านบาท ซื้อหุ้น 30% ในบักซี่บีส์ ยักษ์ใหญ่ CRM

“SABUY” มาเหนือเมฆ เข้าถือหุ้นใหญ่ AIT ผู้นำธุรกิจ IT รายใหญ่ของไทย

ทุ่มอีก 1,000 ล้านบาท ซื้อหุ้น 30% ในบักซี่บีส์ ยักษ์ใหญ่ CRM

ซื้อหุ้นนครหลวงเครดิต 25% ขยายธุรกิจสินเชื่อรายย่อยทั่วประเทศ

โชว์งบปีสุดสวย กำไรมาตามนัด เติบโต 109.% ตั้งเป้า 500,000 ทัชพ้อยท์ และจำนวนผู้ใช้ 100 ล้านคน ในปี 2565

บมจ. สบายเทคโนโลยี (SABUY) สยายปีก อาณาจักร Tech ครั้งสำคัญ เข้าถือหุ้นใหญ่ใน  AIT ยักษ์ใหญ่วางระบบ IT ชั้นนำของไทย พร้อมเจาะตลาด CRM ฐานลูกค้า 100 ล้านบัญชี โดยเข้าถือหุ้น บักซี่บีส์ 30% และรุกตลาดปล่อยสินเชื่อรายย่อย 580 ล้านบาท ซื้อหุ้นนครหลวงเครดิต 25% คาดปีนี้ผลงานโตแรงต่อเนื่อง หลังโชว์กำไรสุทธิปี 2564 เติบโต  109%

SABUY

นายชูเกียรติ รุจนพรพจี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สบาย เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ SABUY เปิดเผยว่า “ SABUY มีผลประกอบการปี 2564 ที่เติบโตสูง เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยบริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 213.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 111.5 ล้านบาท คิดเป็น 109.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 102.1ล้านบาท และ มีรายได้รวม 2,126.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 45.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 1,460.8 ล้านบาท โดยผลกำไรส่วนใหญ่มาจากธุรกิจ  และคณะกรรมการบริษัทฯ อนุมัติการจ่ายเงินปันผลในอัตรา 0.03 บาทต่อหุ้น เป็นเงินรวมประมาณ 39 ล้านบาท พร้อมอนุมัติการขายใบสำคัญที่แสดงสิทธิการซื้อหุ้นสามัญ (วอแรนท์) ให้ผู้ถือหุ้นเดิมในอัตรา 5 หุ้นเดิม ต่อ 2 วอแรนท์ โดยมีราคาใช้สิทธิแปลงเป็นหุ้นสามัญที่ 5 บาท โดยมีมติอนุมัติกำหนดวันกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นเพื่อการประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ประจำปี 2565 (Record Date) ในวันที่ 9 มีนาคม 2565 และมอบอำนาจให้ประธานเจ้าหน้าที่บริหารมีอำนาจในการพิจารณาแก้ไขกำหนดวันกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นเพื่อการประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ประจำปี 2565 (Record Date) ตามความเหมาะสมโดยพิจารณาประโยชน์และผลกระทบที่มีต่อบริษัทฯ เป็นสำคัญ พร้อมกันนี้มีมติกำหนดวันประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ประจำปี 2565 ในวันที่ 27 เมษายน 2565 เวลา 10.00 น. ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Meeting)

นอกจากนี้คณะกรรมการบริษัทฯได้อนุมัติให้ SABUY เข้าลงทุนใน

  1. บริษัท ( AIT) โดยการหุ้นสามัญจำนวน 30,000,000 หุ้น และใบสำคัญที่แสดงสิทธิการซื้อหุ้นสามัญ (วอแรนท์) 140,000,000 ใบ โดยล่าสุด AIT ซึ่งเป็น 1 ในผู้นำในธุรกิจการวางระบบ IT ได้รายงานผลประกอบการที่ดีมีรายได้รวม 7,025 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 537  ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34%
  2. เข้าลงทุนในบริษัท นครหลวง แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) (“NKON”) โดยการเข้าซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนออกใหม่ของ NKON จำนวน 311,699,434 หุ้น หรือคิดเป็นร้อยละ 25 ของทุนที่ออกและเรียกชำระหลังการเสนอขายให้แก่บริษัทฯ มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท เสนอขายในราคาหุ้นละ 2.50 บาท รวมมูลค่าการเสนอขาย 779,248,585 บาท โดยทางบริษัทฯ จะชำระค่าหุ้น NKON ดังนี้
    • ค่าหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 75 ของมูลค่าการเสนอขายทั้งหมด บริษัทฯ จะชำระเป็นเงินสดให้แก่ NKON จำนวน 584,436,438.75 บาท
    • ค่าหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 25 ของมูลค่าการเสนอขายทั้งหมด จำนวน 194,812,146.25 บาท บริษัทฯ จะออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทฯ ให้แก่ NKON จำนวน 6,896,005 หุ้น ในราคาหุ้นละ 28.25 บาท โดยราคาที่ออกเสนอขายดังกล่าวเป็นราคาหุ้นที่ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 90 ของราคาตลาด (โดยที่ราคาตลาดคำนวณจากราคาถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักย้อนหลัง 7 วันทำการติดต่อกันก่อนวันที่คณะกรรมการของบริษัทฯ มีมติอนุมัติให้เข้าลงทุนใน NKON และออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนเสนอขายให้แก่ NKON เพื่อเป็นค่าตอบแทน โดยมีระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 9 กุมภาพันธ์ – 18 กุมภาพันธ์ 2565 (เฉพาะวันทำการ) ซึ่งเท่ากับ 30.6413 บาทต่อหุ้น)
  3. ให้ความเห็นชอบการเข้าลงทุนในบริษัท บัซซี่บีส์ จำกัด (“BZB”) โดยการเข้าซื้อหุ้นสามัญของ BZB จากผู้ถือหุ้นเดิมของ BZB ซึ่งไม่เป็นบุคคลที่เกี่ยวโยงกันของบริษัทฯ BZB จำนวนไม่เกิน 574,500 หุ้น คิดเป็นมูลค่าไม่เกิน 30 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือเทียบเท่า 970,800,000 บาท (อัตราแลกเปลี่ยนธนาคาร กรุงเทพ จำกัด มหาชน ณ วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2565 อยู่ที่ 36 บาท ต่อเหรียญสหรัฐ) โดยการชำระค่าตอบแทนเป็นเงินสด ซึ่งภายหลังจากบริษัทฯ เข้าลงทุนโดยการเข้าซื้อหุ้นสามัญของ BZB จากผู้ถือหุ้นเดิมของ BZB จะทำให้บริษัทฯ ถือหุ้นใน BZB จำนวนไม่เกิน 574,500 หุ้น หรือไม่เกินร้อยละ 30 ของทุนจดทะเบียนทั้งหมดของ BZB

ทั้งนี้ คณะกรรมการมีมติเพิ่มเติม

  1. ให้ความเห็นชอบการออกและเสนอขายใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัทฯ ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้น (Rights Offering) ครั้งที่ 2 (SABUY-W2) จำนวนไม่เกิน 508,551,983 หน่วย RO warrant 5 หุ้นเดิม ต่อ 2 Warrant ที่ราคาใช้สิทธิ 5 บาท
  2. ให้ความเห็นชอบการออกและเสนอขายใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัทฯ ให้แก่กรรมการผู้บริหาร พนักงานของบริษัทฯ และบริษัทย่อย ครั้งที่ 3 (SABUY-WC) จำนวนไม่เกิน 40,000,000 หน่วย
  3. ให้ความเห็นชอบการเพิ่มทุนจดทะเบียนของอีกจำนวน 712,647,401 บาท จากทุนจดทะเบียนเดิมจำนวน 1,365,411,624 บาท เป็นทุนจดทะเบียนใหม่จำนวน 2,078,059,025 บาท โดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 712,647,401 หุ้น มูลค่าหุ้นที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท จำนวน 100,000,000 หุ้น

ทั้งนี้คณะกรรมการมีมติเห็นชอบให้เสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นให้จ่ายปันผล 0.03 บาทต่อหุ้น จากกำไรสุทธิเป็นเงินจำนวน 40 ล้านบาท โดยวันกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับปันผล (Record date) ผู้ถือหุ้นในวันที่ 5 พฤษภาคม 2565 และจ่ายปันผลในวันที่ 19 พฤษภาคม 2565 

นายชูเกียรติ กล่าวเสริมว่า “สำหรับแนวโน้มธุรกิจในปี 2565 นี้ บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายและกลยุทธ์ในส่วนของ “SABUYVERSE First Move”  โดยโครงสร้างธุรกิจหลักจะมีการปรับเปลี่ยนจาก 4 กลุ่ม เป็น 5 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ 1) ธุรกิจเติมเงินและรับชำระเงิน 2) ธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้าและผลิตภัณฑ์ 3) ธุรกิจระบบโซลูชั่นส์และแพลตฟอร์ม 4) ธุรกิจการให้บริการทางการเงิน และ 5)ธุรกิจเศรษฐกิจใหม่ (New Economy) โดยในส่วนของธุรกิจเศรษฐกิจใหม่ที่เพิ่มเข้ามาจะเป็น บริษัท สบาย ดิจิตอล จำกัด (SABUY Digital) เพื่อลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset) ซึ่งรวมไปถึงสกุลเงินดิจิทัล (คริปโท เคอร์เรนซี) และธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีบล็อกเชน โดยอยู่ระหว่างดำเนินการขอใบอนุญาตที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานทางภาครัฐ และบริษัท สบาย แอคเซอเรอเรเตอร์ จำกัด (SABUY Accelerator) การลงทุนธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับนวัตกรรม เพื่อขยายการลงทุนของกลุ่มบริษัท เพื่อเพิ่มศักยภาพสินค้าและบริการใน Ecosystem ของ SABUY

SABUY

บริษัทฯ ได้ร่วมลงทุนกับบริษัทสตาร์ทอัพ และการเข้ามาเป็นบริษัทในเครือ โดยเจาะกลุ่มธุกิจสินเชื่อรายย่อย สินเชื่อรถยนต์แบบครบวงจร ธุรกิจการตลาดแบบหลายชั้น (MLM) และธุรกิจสมาร์ทล็อคเกอร์ให้บริการเช่าล็อกเกอร์ทั่วประเทศ

การเข้าร่วมลงทุนจัดตั้งบริษัทใหม่ร่วมกับกลุ่มบริษัทโอมันนี่ (“OMoney”) ด้วยมูลค่าไม่เกิน 50,000,000 บาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 60% โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเข้าถือหุ้น 100% ใน 3 บริษัท ในกลุ่มบริษัทโอมันนี่ ประกอบไปด้วย บริษัท โอมันนี่ กรุงเทพ จำกัด (“OMB”) บริษัท โอมันนี่ ปทุมธานี จำกัด (“OMP”) และ บริษัท โอมันนี่ สมุทรสาคร จำกัด (“OMS”) ซึ่งเป็นผู้ได้รับใบอนุญาตสินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัดภายใต้การกำกับ (Pico Finance) และเป็นผู้พัฒนาระบบ Application และระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) สำหรับการปล่อยสินเชื่อรายย่อย  ด้วยใบอนุญาต Pico Finance ครอบคลุมพื้นที่ 3 จังหวัด พร้อมทั้งมีระบบ Digital Lending ที่สามารถเชื่อมโยงกับระบบ HR Payroll สามารถเริ่มดำเนินธุรกิจปล่อยสินเชื่อ Pico Finance ได้ทันที อีกทั้งระบบ Digital Lending ดังกล่าวสามารถนำมาปรับใชกับธุรกิจสินเชื่ออื่นๆ ของบริษัทฯ ได้ นอกจากนี้กลุ่มโอมันนี่ มี MOU กับผู้ให้บริการด้านการบริหารจัดการทรัพยากรบุคคลที่มีฐานลูกค้ากว่า 4 แสนราย ซึ่งจะช่วยเพิ่มฐานลูกค้าใน SABUY Ecosystem ทั้งยังต่อยอดกับธุรกิจและบริการทางการเงินอื่นๆ รวมไปถึงการเปิดช่องทางเข้าถึงลูกค้าที่เป็นลูกจ้างโรงงาน และแรงงานต่างด้าว

  1. เข้าลงทุนเข้าซื้อหุ้นสามัญ บริษัท คาร์ฟินน์ อินเตอร์ กรุ๊ป จำกัด (“CarFinn”) มูลค่าไม่เกิน 30,000,000 บาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 20 ของ CarFinn และเป็นผู้สนับสนุนสินเชื่อให้แก่ CarFinn ในการปล่อยสินเชื่อให้แก่ลูกค้าของ CarFinn สำหรับ CarFinn ประกอบธุรกิจในการให้บริการจัดหาสินเชื่อรถยนต์ทุกประเภทแบบครบวงจรให้กับลูกค้า รวมถึงการปล่อยกู้เงินให้กับลูกค้าสำหรับปิดบัญชีเดิม (Refinance) และการปล่อยกู้เงินด่วนระยะสั้นให้กับลูกค้าที่ต้องการเงิน โดยใช้ Digital Platform และ Online Marketing เป็นหลัก เช่น Facebook Google และ YouTube เป็นต้น ทำให้สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้มากขึ้น ลดต้นทุนและสามารถบันทึกพฤติกรรมของลูกค้า เพื่อนำมาใช้ในการวางแผนการตลาดและกลยุทธ์อื่นๆ ได้อีกด้วย ในความร่วมมือกันครั้งนี้ บริษัทฯ คาดว่า จะช่วยเสริมศักยภาพระบบ Ecosystem ของบริษัทฯให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

ล่าสุดการเข้าลงทุนใน 2 ธุรกิจใหม่ คือ ธุรกิจการตลาดแบบหลายชั้น (MLM) ผลิตภัณฑ์กัญชงกัญชา เพื่อสุขภาพ กับบริษัทอินดีม กรุ๊ป จำกัด เนื่องจากธุรกิจกัญชงกัญชา มีมูลค่าตลาดขนาดใหญ่ และมีโอกาสเติบโตสูง นอกจากนี้ SABUY จะเข้าลงทุนในธุรกิจ  สมาร์ทล็อคเกอร์-ให้บริการเช่าล็อกเกอร์ทั่วประเทศ กับ บริษัท ลอคบอกซ์ กรุ๊ป จำกัด ซึ่งธุรกิจนี้ เป็น 1 ในธุรกิจที่มาแรง และ คาดว่าจะเติบโตอย่างสูงทั่วประเทศ โดย SABUY จะสามารถต่อยอดทั้ง 2 ธุรกิจ กับธุรกิจร้าน Drop-off ของ SABUY ซึ่งมีสาขารวมกันกว่า 10,000 สาขา และวางแผนจะขยายสาขาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง SABUY มั่นใจว่าธุรกิจใหม่ทั้ง 2 ธุรกิจจะเสริมสร้างความแข็งแกร่ง สร้างการเติบโตให้ธุรกิจของกลุ่ม SABUY และ สนับสนุนการขยายตัวของ SABUYVERSE Ecosystem อย่างมั่นคง

1.เข้าลงทุนในบริษัท อินดีม กรุ๊ป จำกัด (“INDEEM”) ในสัดส่วนร้อยละ 30 ด้วยมูลค่าเงินลงทุนไม่เกิน 49,500,000 บาท และเข้าร่วมลงทุนกับบริษัท อินดีม กรุ๊ป จำกัด ในการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนในสัดส่วนร้อยละ 60 ด้วยมูลค่าเงินลงทุนจำนวน 3,000,000 บาท ทั้งนี้บริษัทฯ เข้าลงทุนใน INDEEM ซึ่งเป็นบริษัทดำเนินธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้าผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ จำหน่ายสินค้าในกลุ่มผลิตภัณฑ์สกินแคร์ กลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารเสริม อาทิ อาหารเพื่อสุขภาพที่มีส่วนผสมสารสกัดจาก กัญชง กัญชา และกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค ในลักษณะแบบเครือข่าย Multi-level Marketing (MLM) หรือ Network Marketing ซึ่งการร่วมลงทุนกันครั้งนี้ ทางบริษัทฯ เล็งเห็นประโยชน์ที่จะเกิดขึ้น เนื่องจากธุรกิจของ INDEEM ประกอบไปด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่หลากหลาย ทั้งด้านช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้าผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ การสร้างความผูกพันลูกค้าผ่าน Loyalty Program รวมถึงการใช้ Digital Platform ด้านคริปโทเคอร์เรนซีและบล็อกเชน (Cryptocurrency and Blockchain) ซึ่งมีความสอดคล้องกับแผนในการพัฒนาธุรกิจของบริษัทฯ และสามารถสร้างเสริมศักยภาพของสินค้าและบริการ ภายใต้ Ecosystem ของบริษัทฯ ให้มีความเข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น

2.อนุมัติให้บริษัทฯ และ/หรือ บริษัท สบาย แอคเซลเลอเรเตอร์ จำกัด (“SABUYAC”) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัทฯ เข้าลงทุนในบริษัท ลอคบอกซ์ กรุ๊ป จำกัด (“Lockbox”) รวมมูลค่าเงินลงทุนไม่เกิน 48,750,000 บาท ในสัดส่วนร้อยละ 20 ซึ่งเป็นบริษัทที่เป็นผู้ให้บริการที่เกี่ยวกับ Smart locker box หลากหลายรูปแบบ บริษัทฯ จึงมีความประสงค์ที่จะเข้าลงทุนใน Lockbox เพื่อขยายช่องทางการให้บริการของบริษัทฯ และเพื่อเปิดโอกาสให้บริษัทฯ เข้าถึงสินค้า และบริการที่ทันสมัย ตอบโจทย์ผู้บริโภคยิ่งขึ้น ซึ่งบริษัทฯ คาดว่าจะสามารถใช้จุดแข็งดังกล่าวขยายช่องทางการให้บริการของบริษัทฯ โดยเฉพาะ First mile / Last mile ในการจัดส่งพัสดุ และ E-Commerce ได้

3.อนุมัติให้บริษัทฯ และ/หรือ SABUYAC เข้าลงทุนใน บริษัท ดิ อะชีฟเวอร์ 59 จำกัด (“Achiever59”) โดยการซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ Achiever59 รวมมูลค่าเงินลงทุนไม่เกิน 1,250,000 บาท ในสัดส่วนร้อยละ 20 การลงทุนในครั้งนี้ เนื่องจาก Achiever59 เป็นผู้ให้บริการ Smart Locker Box พร้อมทั้ง Application ที่รองรับการใช้งานที่สะดวกสบาย บริษัทฯ คาดว่าจะสามารถใช้จุดแข็งดังกล่าวขยายช่องทางการให้บริการของบริษัทฯ โดยเฉพาะ First mile / Last mile ในการจัดส่งพัสดุ และ E-Commerce ได้ อีกทั้ง Achiever59 เป็นผู้นำในนวัตกรรม Smart Locker  ในประเทศ จึงเป็นการสร้างโอกาสให้บริษัทฯ สามารถเข้าถึงสินค้าและบริการที่ทันสมัย ตอบโจทย์ผู้บริโภค โดยเฉพาะพื้นในเขตเศรษฐกิจตามแนวรถไฟฟ้า

4.อนุมัติให้บริษัทฯ และ/หรือ บริษัท สบาย แอคเซลเลอเรเตอร์ จำกัด SABUYAC เข้าร่วมทุนกับบริษัท ดิอะชีฟเวอร์ 59 จำกัด Achiever59 ในการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนแห่งใหม่ (ซึ่งจะกำหนดชื่อภายหลัง) เพื่อลงทุนร่วมกันในธุรกิจการให้บริการ Smart locker box โดยบริษัทฯ หรือ SABUYAC จะถือหุ้นในบริษัทร่วมทุน ร้อยละ 50 ของจำนวนหุ้นทั้งหมดของบริษัทร่วมทุน รวมมูลค่าเงินลงทุนไม่เกิน 35,000,000 บาท ซึ่งเป็นการร่วมทุนครั้งนี้ บริษัทฯ คาดว่าจะสามารถใช้จุดแข็งดังกล่าวขยายช่องทางการให้บริการของบริษัทฯ โดยเฉพาะ First mile / Last mile ในการจัดส่งพัสดุ และ E-Commerce รวมถึงสร้างโอกาสให้บริษัทฯ สามารถเข้าถึงสินค้าและบริการที่ทันสมัย ตอบโจทย์ผู้บริโภค การเป็น SMART OFFICE SMART FACTORY SMART HOME ในความร่วมมือกันครั้งนี้ บริษัทฯ คาดว่า จะช่วยเสริมศักยภาพและต่อยอดระบบ Ecosystem ของบริษัทฯให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น  ซึ่งจะมีสินค้าและบริการเพิ่มมากขึ้น

นอกจากนั้นแล้ว SABUY ยังได้วางแผนในการลงทุนเรื่องบุคลากรด้วยการเปิด SABUY Campus เพื่อเป็นศูนย์พัฒนาบุคลากรของ SABUY และพันธมิตร รวมไปถึงยังสามารถใช้ในการเป็นสถาบันเพื่อช่วยพัฒนาผู้ประกอบการ SMEs ซึ่งเป็นฐานลูกค้าที่สำคัญ ยิ่งไปกว่านั้น SABUY ยังมีแผนที่จะพัฒนาทีมงานรุ่นใหม่ๆ ด้วยการแสวงหา และเปิดโอกาสให้กับนักศึกษาจบใหม่จากสถาบันการศึกษาชั้นนำทั้งในและต่างประเทศร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับ SABUYVERSE ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นแผนยุทธศาสตร์ของปี 2565 และตั้งเป้าการเติบโตของทั้งองค์กรอย่างก้าวกระโดดภายในปีนี้” นายชูเกียรติกล่าวทิ้งท้าย

เว็บไซต์ ประกาศ ซื้อ ขาย บ้าน มือ1 มือ2 :  Hubzoomer.com

ติดตามข่าวสาร รีวิวบ้านและคอนโด สาระน่ารู้ : Homezoomer